วิธีกรอกแบบฟอร์ม Schedule C

หากคุณได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจของตน คุณก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีด้วยเช่นกัน ผู้รับจ้างอิสระอาจจะต้องหักภาษีจากรายได้ของตนหรือใช้เงินทุนที่มีอยู่เพื่อชำระภาษีรายไตรมาสแก่กรมสรรพากรสหรัฐอเมริกา ต่างจากลูกจ้างที่จะถูกหักภาษีจากเงินเดือนทุกเดือน คุณควรพูดคุยกับเจ้าหน้าที่บัญชีภาษีเมื่อเตรียมจะชำระภาษี แบบฟอร์ม Schedule C นั้นใช้สำหรับรายงานภาษีรายปีสำหรับรายได้ต่อปีของคุณ

เราได้ให้ข้อมูลโดยสรุปเกี่ยวกับ Schedule C ไว้ด้านล่างนี้

แบบฟอร์ม Schedule C

แบบฟอร์ม Schedule C จะช่วยให้ผู้ที่ทำงานส่วนตัวคำนวณกำไร (หรือขาดทุน) ของธุรกิจเพื่อยื่นภาษีประจำปีซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 15 เมษายนได้ แบบฟอร์ม Schedule C มีอยู่ 2 หมวดหลักๆ ได้แก่ รายรับและรายจ่าย ในหมวดรายรับ คุณจะเห็น "รายรับหรือยอดขายขั้นต้น" ซึ่งหมายถึงเงินทั้งหมดที่ไหลเข้ามาสู่ธุรกิจ "รายได้ขั้นต้น" หมายถึงรายรับที่หักลบต้นทุนทางตรง เช่น การซื้อสินค้าขายส่ง

ส่วนรายจ่ายของแบบฟอร์ม Schedule C จะประกอบด้วยต้นทุนทั่วไป เช่น ค่าโฆษณา ค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่า ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยานพาหนะ และประกันภัย อย่าลืมติดตามรายจ่ายเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงเก็บรักษาและจัดระเบียบใบเสร็จทุกครั้ง แม้ว่าจะต้องยื่นแบบฟอร์ม Schedule C พร้อมภาษีรายปีเท่านั้น แต่คุณก็ควรกรอกแบบฟอร์มนี้สำหรับภาษีรายไตรมาสด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ โปรดอย่าลืมว่าธุรกิจควรทำบัญชีให้เป็นกิจวัตรเพื่อการเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทางด้านการเงิน

วิธีกรอกแบบฟอร์ม Schedule C

ขั้นตอนการกรอกแบบฟอร์ม Schedule C มีดังนี้

กำหนดว่าคุณจะต้องใช้แบบฟอร์ม Schedule C กี่ชุด

แบบฟอร์ม Schedule C-EZ คืออะไรและคุณสามารถใช้ได้หรือไม่

แบบฟอร์ม Schedule C-EZ เป็นแบบฟอร์ม Schedule C ฉบับง่ายที่คล้ายคลึงกับแบบฟอร์ม 1040-EZ ซึ่งเป็นแบบฟอร์ม 1040 ฉบับง่าย แรงงานที่ทำงานส่วนตัวและผู้รับจ้างควรจะกรอกแบบฟอร์ม Schedule-EZ หากตนมีคุณสมบัติดังนี้

อ่านแนวทางเกี่ยวกับแบบฟอร์ม Schedule C-EZ ของกรมสรรพากรสหรัฐอเมริกา

ฉันต้องกรอกแบบฟอร์ม Schedule C กี่ชุด

ผู้รับจ้างอาจต้องกรอกแบบฟอร์ม Schedule C หลายชุด โดยขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของรายได้ตามแบบฟอร์ม 1099 ทั้งนี้เนื่องจากกรมสรรพากรสหรัฐอเมริกากำหนดให้ผู้รับจ้างต้องกรอกแบบฟอร์มหนึ่งชุดต่อธุรกิจแต่ละประเภทหรือการประกอบอาชีพแต่ละอย่างที่ตนมีส่วนเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม กรมสรรพากรสหรัฐอเมริกาอธิบายความแตกต่างระหว่างธุรกิจแต่ละประเภทไว้ค่อนข้างซับซ้อน ผู้รับจ้างรายใดก็ตามที่ให้บริการหรือขายสินค้าที่แตกต่างกันไปตามแต่ละอุตสาหกรรมอาจต้องกรอกแบบฟอร์ม Schedule C หนึ่งชุดสำหรับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมแต่ละประเภท สมมติว่านักออกแบบกราฟิกฟรีแลนซ์คนหนึ่งขับรถให้กับแอป Lyft ด้วย กรณีนี้ นักออกแบบรายนี้อาจจะต้องกรอกแบบฟอร์ม Schedule C สองชุด โดยแบ่งเป็นแบบฟอร์มสำหรับรายได้จากแอป Lyft หนึ่งชุดและสำหรับรายได้จากการออกแบบอีกหนึ่งชุด

กรอกข้อมูลทั่วไปและข้อมูลรายรับลงในแบบฟอร์ม Schedule C

ข้อมูลทั่วไป

เรามาดูส่วนแรกของแบบฟอร์ม Schedule C ซึ่งมีไว้สำหรับกรอกข้อมูลพื้นฐานไปพร้อมๆ กันเถอะ

A. ธุรกิจหรืออาชีพหลัก

ในบรรทัดนี้ ให้อธิบายประเภทของงาน เช่น "บริการขับรถ" หรือ "บริการออกแบบ"

B. รหัส

รหัสในบรรทัดนี้หมายถึง "รหัสธุรกิจหรือการประกอบอาชีพหลัก" ที่กรมสรรพากรสหรัฐอเมริกาใช้เพื่อติดตามตรวจสอบการเติบโตของอุตสาหกรรม ให้ค้นหารหัสของประเภทธุรกิจ โดยคุณสามารถดูรายการรหัสอาชีพหลักได้ที่นี่

C, D, E. ชื่อธุรกิจ หมายเลขประจำตัวนายจ้าง และที่อยู่

มีเฉพาะธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท (เช่น บริษัทจำกัด) เท่านั้นที่ต้องกรอกชื่อธุรกิจและหมายเลขประจำตัวนายจ้าง คุณควรเว้นบรรทัดนี้ว่างไว้ หากธุรกิจไม่ได้จดทะเบียน ที่อยู่ควรเป็นที่อยู่ส่วนตัวหรือที่อยู่สำนักงานในปัจจุบันของผู้รับจ้าง

F. วิธีการทำบัญชี

ในส่วนนี้ ให้กรอกวิธีการทำบัญชีที่ใช้ว่าเป็นแบบเกณฑ์เงินสดหรือเกณฑ์คงค้าง ผู้รับจ้างอิสระหลายราย (ที่ไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท) ใช้วิธีการทำบัญชีแบบเกณฑ์เงินสด ซึ่งจะนับรายรับและรายจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง คุณควรพูดคุยกับเจ้าหน้าที่บัญชีภาษีของคุณ หากมีข้อสงสัยว่าต้องใช้วิธีใด

G, H, I, J. คำถามเพิ่มเติม

คำถามเหล่านี้ค่อนข้างเข้าใจได้ง่ายอยู่แล้ว หากธุรกิจได้จ้างผู้รับจ้างหรือฟรีแลนซ์ (หรือได้จ้างบริการด้านกฎหมาย) ธุรกิจดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะต้องส่งแบบฟอร์ม 1099 และแจ้งกับกรมสรรพากรสหรัฐอเมริกาว่าได้ยื่นแบบฟอร์มดังกล่าวไปแล้ว

ส่วนที่ I: รายได้

ในส่วนนี้ ให้กรอกรายได้ของผู้รับจ้าง โดยมีองค์ประกอบหลักดังนี้

รายรับหรือยอดขายขั้นต้น: ประกอบด้วยผลกำไรขั้นต้นโดยรวม

การคืนสินค้าและต้นทุนสินค้าที่ขาย: ผู้รับจ้างต้องกรอกข้อมูลนี้ต่อเมื่อตนขายวัตถุหรือสินค้า การคืนสินค้าหมายถึงเมื่อใดก็ตามที่ลูกค้าได้ส่งคืนสินค้า ต้นทุนสินค้าที่ขายหมายถึงยอดเงินที่ใช้เพื่อผลิตสินค้าที่ขาย 

รายได้อื่นๆ: กรอกยอดเงินของ "รายได้อื่นๆ" ที่ได้รับตามที่กรมสรรพากรสหรัฐอเมริกากำหนด เช่น ดอกเบี้ยเงินกู้หรือรายได้จากการให้เช่าพื้นที่สำนักงาน

รายได้ขั้นต้น: นับรายรับทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่าย ปกติ ช่องนี้จะเท่ากับยอดรายรับขั้นต้น เว้นแต่ว่าจะมีการหักลบยอดจาก "การคืนสินค้าและต้นทุนสินค้าที่ขาย" เอาไว้

payable schedule c part 1.png

ส่วนที่ II: รายจ่าย

ในส่วนนี้ ให้กรอกรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดปี (หรือไตรมาส) โปรดดูรายการรายจ่ายธุรกิจที่กรมสรรพากรสหรัฐอเมริกาอนุญาต

ช่องที่ 8-27: กรอกยอดเงินที่ใช้สำหรับรายจ่ายแต่ละรายการในช่องเหล่านี้ คำแนะนำเกี่ยวกับแบบฟอร์ม Schedule C ของกรมสรรพากรสหรัฐอเมริกาให้คำจำกัดความของส่วนรายจ่ายไว้แบบช่องต่อช่อง

ช่องที่ 28: ใส่รายจ่ายทั้งหมดตั้งแต่ช่องที่ 8-27 สำหรับรายจ่ายที่เกี่ยวกับโฮมออฟฟิศและยานพาหนะ ให้กรอกด้านล่าง

payable schedule c part 2.png

ส่วนที่ III: ต้นทุนสินค้าที่ขาย

โดยปกติแล้ว ส่วนนี้มีไว้สำหรับผู้รับจ้างที่ผลิตสินค้าที่จับต้องได้ รวมถึงกรอกจำนวนสินค้าคงคลังและสินค้าที่คุณได้ขายไป

payable schedule c part 3.png

ส่วนที่ IV: ข้อมูลเกี่ยวกับยานพาหนะของคุณ

ส่วนนี้คือส่วนที่มีไว้สำหรับกรอกข้อมูลรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะของธุรกิจ กรมสรรพากรสหรัฐอเมริกาอนุญาตวิธีการนับรายจ่ายเหล่านี้ 2 วิธี ได้แก่ วิธีคิดตามอัตราระยะทางมาตรฐานในหน่วยไมล์หรือวิธีคิดรายจ่ายตามจริง สำหรับวิธีคิดตามอัตราระยะทางมาตรฐานในหน่วยไมล์ การหักภาษีจะอิงตามระยะทางที่ธุรกิจได้เดินทางในหน่วยไมล์ (ผู้รับจ้างสามารถหักภาษีได้ 0.54 ดอลลาร์สหรัฐต่อไมล์) โดยจะรวมค่าน้ำมัน ประกันภัย และค่าเสื่อมราคาไว้ด้วย สำหรับวิธีคิดรายจ่ายตามจริง คุณต้องระบุรายการค่าน้ำมัน ค่าประกันภัย ฯลฯ เพื่อรวมต้นทุนเข้าด้วยกัน

payable schedule c part 4.png

ส่วนที่ V: รายจ่ายอื่นๆ

บันทึกรายจ่ายที่กรมสรรพากรสหรัฐอเมริกานับว่าเป็น "รายจ่ายอื่นๆ" ซึ่งจะพบได้ไม่บ่อยเท่าใดนัก โปรดดูคำอธิบายเกี่ยวกับรายจ่ายที่กรมสรรพากรสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็น "รายจ่ายอื่นๆ"

ความสำเร็จด้านภาษี

เคล็ดลับง่ายๆ ในการทำแบบฟอร์ม Schedule C คือเริ่มทำแต่เนิ่นๆ ให้สร้างระบบการทำบัญชีที่จะติดตามรายได้ ต้นทุนทางตรง และรายจ่ายของคุณ เมื่อต้องกรอกแบบฟอร์ม คุณก็น่าจะทำได้ง่ายๆ เพียงคัดลอกและวางการคำนวณภาษีปกติของคุณลงในช่อง หากคุณต้องทำบัญชีเพิ่มเติมจนถึงสิ้นไตรมาสและช่วงยื่นภาษี ให้เริ่มทำแต่เนิ่นๆ คุณควรใช้เวลาตรวจสอบตัวเลขอีกครั้งก่อนที่คุณจะส่งเช็กหรือโอนเงิน และคุณต้องส่งก่อนวันที่ครบกำหนดเสมอ คุณควรพูดคุยกับเจ้าหน้าที่บัญชีภาษีของคุณ หากต้องการความช่วยเหลือในการกรอกแบบฟอร์ม Schedule C