ดูคำตอบสำหรับคำถามเกี่ยวกับโปรแกรมการตรวจสอบของ Visa และ Mastercard
การดึงเงินคืนทุกรายการที่มีการรับส่งเงินจะนับรวมในยอดรวมของโปรแกรมในเดือนที่กำหนด ไม่ว่าจะเป็นการดึงเงินคืนด้วยเหตุผลใดก็ตาม โดยเหตุการณ์ต่อไปนี้จะไม่นับรวมว่าเป็นการดึงเงินคืน
โปรแกรมการตรวจสอบการฉ้อโกงของ Visa (VFMP) จะใช้ข้อมูลการฉ้อโกงที่บริษัทผู้ออกบัตรรายงาน (TC40) ที่เราเรียกว่าคำเตือนว่าอาจเป็นการฉ้อโกง (Early Fraud Warnings หรือ EFW) EFW ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยสิ้นเชิงกับบริษัทผู้ออกบัตรที่ริเริ่มการดึงเงินคืน บริษัทผู้ออกบัตรจะต้องรายงานการฉ้อโกงไปยังเครือข่ายบัตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบริษัทผู้ออกบัตรว่าจะเริ่มต้นการดึงเงินคืนภายในระยะการดึงเงินคืนหรือไม่และจะเริ่มดำเนินการเมื่อใด การที่การชำระเงินที่ได้รับ TC40 จะไม่ได้รับการการดึงเงินคืนหรือได้รับทั้ง EFW และการดึงเงินคืนนั้นถือเป็นเหตุการณ์ปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ เงื่อนไขและสถานการณ์ดังกล่าวจะแตกต่างกันออกไปตามบริษัทผู้ออกบัตร แต่มีบางสถานการณ์ที่พบได้ทั่วไป เช่น การเรียกเก็บเงินที่มีการโอนความรับผิดเนื่องจากการเรียกเก็บเงินดังกล่าวได้ผ่านขั้นตอนการยืนยันตัวตนแบบ 3D-Secure แล้ว ซึ่งบริษัทผู้ออกบัตรพิจารณาว่าการจำหน่ายรายการดังกล่าวนั้นคุ้มค่ากว่าการที่จะเริ่มต้นการดึงเงินคืน หรือการที่ขั้นตอนภายในของบริษัทผู้ออกบัตรเริ่มต้นการดึงเงินคืนในภายหลัง ธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงทั้งหมดที่บริษัทผู้ออกบัตรรายงาน (ข้อมูล TC40) จะนับรวมในโปรแกรม ไม่ว่าธุรกรรมนั้นจะเป็นการฉ้อโกงประเภทใด มีรหัสเหตุผลการโต้แย้งการชำระเงินใด และผลการคัดค้านเป็นอย่างไร (สำเร็จหรือไม่สำเร็จ)
การดึงเงินคืนสำหรับการชำระเงินที่มีการคืนเงินเต็มจำนวนแล้วจะยังคงนับรวมในยอดรวมอยู่ ทั้งนี้เนื่องจากการดึงเงินคืนอาจเกิดขึ้นก่อนที่เงินคืนจะโอนไปยังบัญชีของเจ้าของบัตร ในกรณีที่มีการคืนเงินอย่างเหมาะสมก่อนที่เราจะได้รับการดึงเงินคืน (อย่างน้อย 10 วัน) เราอาจขอให้มีการหักยอดการดึงเงินคืนจากบัญชีของผู้ถือบัตร ซึ่งอาจทำให้บริษัทผู้ออกบัตรไม่ทราบถึงการลดหนี้ดังกล่าวและดำเนินการดึงเงินคืนจากความผิดพลาด อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้มีโอกาสเกิดขึ้นไม่บ่อยนักและเรายังไม่เคยพบกรณีที่ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะส่งผลให้ไม่ถูกระบุชื่อในโปรแกรม
ไม่ใช่ ผลลัพธ์สุดท้ายของการคัดค้านการโต้แย้งการชำระเงินไม่มีผลต่อยอดรวมสุดท้ายของคุณ ท้ายที่สุดแล้ว เครือข่ายบัตรจะตรวจสอบว่าคุณได้ดำเนินการใดๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการดึงเงินคืนตั้งแต่แรกหรือไม่ นอกจากนี้ หากต้องพิจารณาผลการคัดค้านด้วย การระบุชื่อในโปรแกรมอาจใช้เวลานานหลายเดือนหลังจากเดือนที่มีข้อมูลการโต้แย้งการชำระเงิน เนื่องจากคุณจะต้องรอให้ขั้นตอนการดึงเงินคืนดำเนินการจนเสร็จสิ้นก่อน
คำตอบแบบสั้นๆ คือไม่ได้ มีข้อกำหนดว่าธนาคารของลูกค้าจะต้องรายงานการฉ้อโกงเกี่ยวกับการชำระเงินที่หักยอดแล้วทุกรายการ แม้ว่าจะมีการคืนเงินแล้วก็ตาม ยกเว้นในกรณีเดียวคือกระบวนการคืนเงินที่ประมวลผลในรูปแบบการปรับคืน แต่โดยปกติแล้ว กรณีดังกล่าวจะต้องคืนเงินภายใน 2 ชั่วโมงหลังจากที่มีการหักยอดการเรียกเก็บเงิน
Stripe อาจดำเนินการดึงเงินคืนในนามของคุณโดยอัตโนมัติในบางสถานการณ์ โดยจะไม่แสดงรายการดังกล่าวในบัญชีของคุณ ตัวอย่างเช่น Stripe จะดำเนินการเช่นนี้ หากการชำระเงินได้รับการปกป้องจากการโอนความรับผิด หรือเป็นข้อผิดพลาดที่เกิดจากเครือข่ายบัตรและคุณไม่ควรเป็นผู้รับผิดทางการเงินสำหรับการโต้แย้งการชำระเงินดังกล่าว กรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุหลายประการ แต่สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดเกิดจากการที่คุณได้คืนเงินสำหรับการชำระเงินเต็มจำนวนแล้วก่อนที่ลูกค้าจะโต้แย้งการชำระเงิน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณจะไม่ต้องรับผิดต่อค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมในการโต้แย้งการชำระเงินเหล่านี้ แต่การโต้แย้งนี้จะยังคงนับรวมในยอดรวมรายเดือนของเครือข่าย หากคุณมีแนวโน้มที่จะคืนเงินบ่อยครั้ง การทำเช่นนี้อาจทำให้จำนวนการโต้แย้งการชำระเงินในบัญชีของคุณน้อยกว่าจำนวนที่ปรากฏในข้อมูลฝั่งเครือข่าย
การระบุชื่อในโปรแกรมมักเกิดขึ้นในเดือนถัดไปหลังจากที่มีการรายงานการโต้แย้งการชำระเงิน โดยเดือนที่ธุรกิจถูกระบุชื่อว่าในโปรแกรมจะเรียกว่า "เดือนที่รายงาน/มีการรายงาน" หรือ "เดือนที่มีการระบุชื่อ" ส่วนเดือนที่มีการรายงานการโต้แย้งการชำระเงินจะเรียกว่า "เดือนที่มีข้อมูล" ข้อมูลเหล่านี้อาจก่อให้เกิดความสับสนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโปรแกรมของ Mastercard ที่มีเดือนที่มีข้อมูลแยกกัน 2 เดือน โดยแบ่งเป็นเดือนที่มีการนับการโต้แย้งการชำระเงินและเดือนที่มีการนับยอดขาย แต่เมื่อใดก็ตามที่กล่าวถึงเดือนที่มีการรายงานหรือเดือนที่มีการระบุ เราหมายถึงเดือนที่คุณถูกระบุชื่อในโปรแกรม ซึ่งมักจะเป็น 1 เดือนถัดจากเดือนที่มีข้อมูลให้พิจารณา
Visa จะพิจารณาระบุชื่อผู้ค้าในโปรแกรมโดยอิงจากชื่อผู้ค้าในรายการเดินบัญชีในแต่ละตลาด (กล่าวคือ ประเทศ) ยกเว้นในสหภาพยุโรปซึ่งจะประเมินยอดในแต่ละประเทศรวมกัน ตัวอย่างเช่น หากคุณใช้ชื่อผู้ค้าในรายการเดินบัญชีหลายชื่อสำหรับบัญชีในแคนาดาบัญชีหนึ่ง บัญชีดังกล่าวอาจถูกระบุชื่อในโปรแกรมการตรวจสอบหลายครั้งได้ หากชื่อผู้ค้าในรายการเดินบัญชีของตลาดที่ต่างกัน มียอดเกินเกณฑ์ของโปรแกรม นอกจากนี้ หากคุณมีบัญชีในสหรัฐอเมริกาด้วย อาจทำให้มีการระบุชื่อผู้ค้าในรายการเดินบัญชีเดียวกัน 2 ครั้งได้ในกรณีที่มียอดในแต่ละตลาดเกินเกณฑ์ของโปรแกรม แต่หากคุณมีบัญชีในฝรั่งเศสและไอร์แลนด์ซึ่งมียอดเกินเกณฑ์ของโปรแกรมในชื่อผู้ค้าเดียวกัน Visa จะรวมยอดของบัญชีเหล่านั้นให้เป็นการระบุชื่อในโปรแกรมเพียงรายการเดียว เนื่องจากทั้ง 2 บัญชีอยู่ในสหภาพยุโรป
Visa จะนับยอดรวมจำนวนการดึงเงินคืนที่เกิดขึ้นในช่วง 1 เดือนแล้วหารด้วยจำนวนการชำระเงินที่มีการหักยอดในเดือนเดียวกันนั้น ตัวอย่างเช่น การดึงเงินคืนที่รายงานในเดือนกุมภาพันธ์จะหารด้วยจำนวนการขายทั้งหมดที่หักยอดในเดือนกุมภาพันธ์ วันที่ทำธุรกรรมแรกเริ่มของการชำระเงินที่โต้แย้งจะไม่ส่งผลต่อสมการนี้ หากคุณมีการโต้แย้งการชำระเงินเท่ากับหรือเกิน 100 ครั้งและมีอัตรายอดการโต้แย้งการชำระเงินต่อยอดขายอยู่ที่ 0.9% ในเดือนที่มีข้อมูล คุณจะมีคุณสมบัติอยู่ที่ระดับ "มาตรฐาน" ของโปรแกรม หากบัญชีของคุณอยู่นอกสหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรป ออสเตรเลีย หรือบราซิล ระบบจะนับรวมเฉพาะธุรกรรมต่างประเทศ สำหรับกรณีนอกเหนือจากนี้ ระบบจะนับรวมทั้งธุรกรรมในประเทศและธุรกรรมต่างประเทศ
หากบัญชีของคุณอยู่นอกสหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรป ออสเตรเลีย หรือบราซิล ระบบจะนับรวมเฉพาะธุรกรรมต่างประเทศ สำหรับกรณีนอกเหนือจากนี้ ระบบจะนับรวมทั้งธุรกรรมในประเทศและธุรกรรมต่างประเทศ Visa จะนับยอดเงินรวม (ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ) ของ TC40 ที่เกิดขึ้นในช่วง 1 เดือนแล้วหารด้วยยอดเงินของการชำระเงินที่มีการหักยอดในเดือนเดียวกันนั้น ตัวอย่างเช่น ยอด TC40 ที่รายงานในเดือนกุมภาพันธ์จะหารด้วยจำนวนยอดขายทั้งหมดที่หักยอดในเดือนกุมภาพันธ์ วันที่หักยอดการชำระเงินที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงจะไม่ส่งผลต่อสมการนี้ หากคุณมียอดการฉ้อโกงเท่ากับหรือเกิน 75,000 ดอลลาร์สหรัฐและมีอัตรายอดการฉ้อโกงต่อยอดขายอยู่ที่ 0.9% ในเดือนที่มีข้อมูล ถือว่าคุณเข้าเกณฑ์ของโปรแกรมในระดับ "มาตรฐาน"
โปรแกรมนี้มีผลกับผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น Visa จะนับยอดเงินรวม (ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ) ของ TC40 ที่เกิดขึ้นในช่วง 1 เดือนแล้วหารด้วยยอดเงินของการชำระเงินที่มีการหักยอดในเดือนเดียวกันนั้น ตัวอย่างเช่น ยอด 3DS ที่ได้รับ TC40 ที่รายงานในเดือนกุมภาพันธ์จะหารด้วยยอดเงินของยอดขาย 3DS ทั้งหมดที่หักยอดในเดือนกุมภาพันธ์ วันที่หักยอดการชำระเงินที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงจะไม่ส่งผลต่อสมการนี้ หากคุณมียอดการฉ้อโกงสำหรับธุรกรรมในประเทศที่ได้รับการตรวจสอบสิทธิ์ 3D Secure (3DS) เท่ากับหรือเกิน 75,000 ดอลลาร์สหรัฐและมีอัตรายอดการฉ้อโกงต่อยอดขายอยู่ที่ 0.9% ในเดือนที่มีการรายงาน ถือว่าคุณเข้าเกณฑ์
คำเตือนล่วงหน้าจาก Visa เป็นเพียงแค่คำเตือนเท่านั้น แม้ว่าคุณจะยังไม่ได้ถือว่าอยู่ในโปรแกรมก็ตาม แต่คุณก็ควรดำเนินการเพื่อให้อัตราของคุณอยู่ต่ำกว่า 0.65% ซึ่งเป็นขีดจำกัดที่ต้องเข้าโปรแกรมการตรวจสอบการฉ้อโกงของ Visa (VFMP)
วิธีที่ดีที่สุดในการคำนวณอัตราการดึงเงินคืนคือการส่งออกการโต้แย้งการชำระเงินที่ดำเนินการผ่าน Visa ในสหรัฐอเมริกาจะมีความล่าช้าเกี่ยวกับเวลาที่ได้รับการโต้แย้งการชำระเงินจากพาร์ทเนอร์ด้านการชำระเงินและเวลาที่รายงานไปยัง Visa หากต้องการทราบจำนวนที่ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น คุณควรเริ่มพิจารณาการโต้แย้งการชำระเงินตั้งแต่วันที่ 5 ของเดือนไปจนถึงวันที่ 5 ของเดือนถัดไป จากนั้นให้หารจำนวนดังกล่าวด้วยยอดขายที่มีการหักยอดโดยเริ่มนับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของเดือน สำหรับบัญชีในตลาดอื่นๆ ทั้งหมด คุณสามารถเริ่มนับยอดการโต้แย้งการชำระเงินได้ตั้งแต่วันแรกไปจนถึงวันสุดท้ายของเดือน สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือข้อมูลการโต้แย้งการชำระเงินอาจแตกต่างจากจำนวนที่มีการระบุอย่างเป็นทางการจาก Visa เนื่องจากความคลาดเคลื่อนในส่วนนี้และความคลาดเคลื่อนในการรายงานอื่นๆ
หากคุณใช้ชื่อผู้ค้ามากกว่า 1 ชื่อ Visa อาจระบุธุรกรรมของชื่อผู้ค้าหนึ่งๆ เพียงบางส่วนเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น คุณควรกำหนดให้ชื่อผู้ค้ามีรหัสนำหน้าเดียวกันตามรูปแบบดังต่อไปนี้ ชื่อธุรกิจ* ชื่อผู้ค้าที่ไม่ซ้ำกัน จากตัวอย่างนี้ Visa จะรวบรวมข้อมูลทุกอย่างในชื่อ "ชื่อธุรกิจ*"
หากคุณทำงานร่วมกับผู้ประมวลผลรายอื่นภายใต้สถาบันผู้รับบัตรคนละราย ระบบจะรวบรวมข้อมูลดังกล่าวแยกกัน ผู้ประมวลผลหลายรายอาจใช้สถาบันผู้รับบัตรรายเดียวกันได้ในบางกรณี เมื่อเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น Visa จะรวมข้อมูลของคุณจากผู้ประมวลผลรายต่างๆ ซึ่งอาจทำให้คุณได้รับการระบุให้อยู่ในโปรแกรมได้ แม้ว่ายอดรวมของคุณใน Stripe จะไม่ถึงเกณฑ์คุณสมบัติก็ตาม
Mastercard จะนับยอดรวมจำนวนการดึงเงินคืนที่เกิดขึ้นในช่วง 1 เดือนแล้วหารด้วยยอดรวมของการชำระเงินที่มีการหักยอดในเดือนก่อนหน้า ตัวอย่างเช่น การดึงเงินคืนที่รายงานในเดือนกุมภาพันธ์จะหารด้วยจำนวนการขายทั้งหมดที่หักยอดในเดือนมกราคม วันที่หักยอดการชำระเงินที่โต้แย้งจะไม่ส่งผลต่อสมการนี้ หากคุณมีการดึงเงินคืนเท่ากับหรือเกิน 100 ครั้งและมีอัตราการดึงเงินคืนต่อการขายอยู่ที่ 1% ในเดือนที่มีการรายงาน ถือว่าคุณเข้าเกณฑ์
Mastercard กำหนดให้สถาบันผู้รับบัตรระบุชื่อผู้ใช้ที่เข้าเกณฑ์ต้องอยู่ในโปรแกรม (แบ่งกลุ่มตามตลาด) และรายงานข้อมูลนี้ให้กับ Mastercard ทุกเดือน
วิธีที่ดีที่สุดในการคำนวณอัตราคือการส่งออกการโต้แย้งการชำระเงินที่ดำเนินการผ่าน Mastercard ในสหรัฐอเมริกาจะมีความล่าช้าเกี่ยวกับเวลาที่ได้รับการโต้แย้งการชำระเงินจากพาร์ทเนอร์ด้านการชำระเงินและเวลาที่รายงานไปยัง Mastercard หากต้องการทราบจำนวนที่ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น คุณควรเริ่มพิจารณาการโต้แย้งการชำระเงินตั้งแต่วันที่ 5 ของเดือนไปจนถึงวันที่ 5 ของเดือนถัดไป จากนั้นให้หารจำนวนดังกล่าวด้วยยอดขายที่มีการหักยอดของเดือนก่อนหน้าโดยเริ่มนับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของเดือนดังกล่าว สำหรับบัญชีในตลาดอื่นๆ ทั้งหมด คุณสามารถนับยอดการโต้แย้งการชำระเงินได้ตั้งแต่วันแรกไปจนถึงวันสุดท้ายของเดือน
Mastercard กำหนดให้สถาบันผู้รับบัตรต้องรายงานการระบุชื่อที่ระดับบัญชี ดังนั้น แม้ว่าอัตรารวมในหลายบัญชีจะต่ำกว่าเกณฑ์ แต่คุณก็อาจถือว่าเข้าเกณฑ์ได้ หากมีบัญชีใดบัญชีหนึ่งที่มีอัตราสูงกว่าเกณฑ์ อย่างไรก็ตาม หากบัญชีของคุณประมวลผลสำหรับบริการที่คล้ายกันในหลายบัญชี คุณอาจส่งคำขอให้ Mastercard ประเมินสถานการณ์ใหม่ได้
หากต้องการออกจากโปรแกรมอย่างสมบูรณ์ คุณจะต้องมีอัตราที่เกี่ยวข้องต่ำกว่าเกณฑ์ระดับ "มาตรฐาน" เป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน ซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องมีจำนวนการดึงเงินคืนต่ำกว่า 100 ครั้ง หรือมียอดการฉ้อโกงต่ำกว่า 75,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือมีอัตราต่ำกว่า 0.9% เป็นเวลา 3 เดือนเพื่อออกจาก VDMP และ VFMP ตามลำดับ
หลังจากที่ถูกระบุชื่อให้อยู่ในระดับ "เกินเกณฑ์ที่กำหนด" คุณจะถูกปรับและถูกระบุชื่อให้อยู่ในลำดับเวลา "ความเสี่ยงสูง" จนกว่าระดับของคุณจะอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ระดับ "มาตรฐาน" ซึ่งหมายความว่าการถูกระบุชื่อว่าอยู่ในระดับ "เกินเกณฑ์ที่กำหนด" เพียง 1 เดือนอาจทำให้คุณต้องเสียค่าปรับต่อเนื่องหลายเดือนได้ หากยังไม่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์ระดับ "มาตรฐาน" หากต้องการออกจากโปรแกรมอย่างสมบูรณ์ คุณจะต้องมีอัตราที่เกี่ยวข้องต่ำกว่าเกณฑ์ระดับ "มาตรฐาน" เป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน
บริษัทผู้ออกบัตรสามารถส่งคำร้องการโต้แย้งการชำระเงินที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงสำหรับการเรียกเก็บเงินด้วย 3DS ภายใต้เงื่อนไขการโต้แย้งการชำระเงินข้อ 10.5: โปรแกรมการตรวจสอบการฉ้อโกงของ Visa ได้ภายใน 120 วันตามปฏิทินนับจากวันที่มีการระบุชื่อให้อยู่ในโปรแกรมการตรวจสอบการฉ้อโกงของ Visa (ตัวอย่างเช่น หากคุณถูกระบุชื่อในโปรแกรม VFMP-3DS เป็นเดือนที่ 2 ในวันที่ 5 มกราคม) จากนั้น คุณจะต้องไม่ได้รับการระบุเป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน (ก.พ.-เม.ย.) ทั้งนี้ บริษัทผู้ออกบัตรยังคงสามารถส่งคำร้องการโต้แย้งการชำระเงินที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงสำหรับการเรียกเก็บเงินด้วย 3DS ได้จนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม
เช่นเดียวกันกับโปรแกรมของ Visa คุณไม่สามารถออกจากโปรแกรมนี้ได้ ไม่ว่าจะมียอดการดึงเงินคืนอยู่ในเกณฑ์หรือไม่ก็ตาม
หากต้องการออกจากโปรแกรมอย่างสมบูรณ์ คุณจะต้องมีจำนวนการดึงเงินคืนต่ำกว่าเกณฑ์ของ ECM เป็นเวลา 2 เดือนติดต่อกัน ตัวอย่างเช่น หากคุณถูกระบุชื่อในโปรแกรมในเดือนมกราคมและมีจำนวนการดึงเงินคืนต่ำกว่าเกณฑ์ของ ECM ในเดือนกุมภาพันธ์ แต่ในเดือนมีนาคมจำนวนดังกล่าวสูงขึ้นจนอยู่ในเกณฑ์อีกครั้ง คุณก็จะถูกระบุให้อยู่ใน ECM อีกครั้ง หากคุณมียอดอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ของ ECM เป็นเวลา 2 เดือนติดต่อกัน แต่มียอดสูงกว่าเกณฑ์อีกครั้งในเดือนที่ 3 คุณจะได้รับการระบุให้อยู่ใน CMM
Stripe สามารถดึงข้อมูลชื่อผู้ค้าทั้งหมดที่คุณใช้ได้ ทั้งนี้เพื่อดูว่าชื่อผู้ค้าเหล่านั้นมีรูปแบบเป็นอย่างไร หากชื่อผู้ค้าแต่ละชื่อใช้รหัสนำหน้าเดียวกันก็สามารถติดต่อ Visa และขอให้ทำการรวบรวมข้อมูลของชื่อผู้ค้ารวมกันหลังจากนี้ไป หากชื่อผู้ค้าแต่ละชื่อมีความแตกต่างกันมาก (ตัวอย่างเช่น MONTHLY PLAN, YEARLY PLAN และอื่นๆ) คุณควรแก้ไขชื่อผู้ค้าโดยใช้รูปแบบรหัสนำหน้าที่เหมาะสมก่อน คุณควรดำเนินการเปลี่ยนแปลงนี้ในช่วงสิ้นเดือน เพื่อป้องกันไม่ให้ยอดขายที่ใช้ชื่อผู้ค้าเก่าหายไป ซึ่งจะทำให้อัตราการโต้แย้งการชำระเงินพุ่งสูงขึ้น
เหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นได้ หาก MID ของผู้ใช้ (ID ผู้ค้าของผู้ประมวลผล) มีการอัปเดตในช่วงระหว่างเดือนหนึ่งๆ โปรแกรมของ Mastercard จะใช้ MID ในลักษณะเดียวกับที่ Visa ใช้ชื่อผู้ค้าในรายการเดินบัญชี การเปลี่ยนแปลงในช่วงระหว่างเดือนอาจทำให้จำนวนยอดขายต่ำกว่ายอดขายจริงได้
การฉ้อโกงโดยการปฏิเสธการชำระเงินอาจตรวจพบได้ยากในขั้นตอนการสร้างการเรียกเก็บเงิน เนื่องจากเจ้าของบัตรตัวจริงมักจะเป็นผู้ดำเนินการชำระเงิน วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการโต้แย้งการชำระเงินประเภทนี้คือการรวบรวมข้อมูลในขั้นตอนการสร้างการเรียกเก็บเงินให้ได้มากที่สุด แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับระยะเวลาในการจัดส่งและ/หรือข้อกำหนดในการเรียกเก็บเงินอย่างชัดเจน กำหนดให้เจ้าของบัตรต้องยอมรับข้อกำหนดการให้บริการ จัดส่งสินค้าไปยังที่อยู่สำหรับการเรียกเก็บเงินที่ได้รับการยืนยันแล้วเท่านั้น และ/หรือกำหนดให้มีการเซ็นชื่อเมื่อได้รับสินค้าแล้ว
การโต้แย้งการชำระเงินประเภทอื่นที่พบได้ไม่บ่อยนักอาจบ่งชี้ว่าลูกค้าจำชื่อผู้ค้าในรายการเดินบัญชีของคุณไม่ได้หรือเกิดความสับสนกับวิธีการเรียกเก็บเงิน โดยกรณีเหล่านี้ถือเป็นสัดส่วนเปอร์เซ็นต์เพียงเล็กน้อยในการโต้แย้งการชำระเงินทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หากปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่พบบ่อย 3 อันดับแรกของคุณ อาจเป็นการบ่งชี้ว่ามีปัญหาอื่นที่อาจเป็นสาเหตุที่แท้จริงของปัญหานี้ได้
ไม่เสมอไป แม้ว่าการเรียกเก็บเงินที่ตรวจสอบสิทธิ์ด้วย 3DS จะมีประโยชน์ในด้านการโอนความรับผิดเกี่ยวกับการโต้แย้งการชำระเงินที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงก็ตาม แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดการฉ้อโกงได้เช่นเดิม เมื่อมีการฉ้อโกงเกิดขึ้น บริษัทผู้ออกบัตรจะรายงานไปยังเครือข่าย (TC40 หรือ SAFE) ซึ่งกรณีนี้จะนับรวมในยอดการฉ้อโกง
Stripe จะอนุญาตให้การชำระเงินที่ได้รับการตรวจสอบสิทธิ์ด้วย 3DS ผ่านการตรวจสอบตามค่าเริ่มต้น แต่ผู้ใช้ควรปรับเปลี่ยนกฎนี้เพื่อให้ระบบยังคงบล็อกการชำระเงินด้วย 3DS ที่ถูกรายงานว่ามีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ผู้ใช้ควรพิจารณาสัญญาณอื่นๆ เช่นเดียวกับที่ทำกับการเรียกเก็บเงินตามปกติ เช่น ความเร็ว มูลค่าของธุรกรรม และ/หรือการตรวจสอบ CVC/AVS